สวัสดีครับ …. วันนี้ผมจะพาท่านท่องเที่ยวนคร โฮจิมินห์ กัน นครโฮจิมินห์ นั้น ทุกท่านคงจะทราบดีอยู่แล้วว่า อยู่ที่เวียดนาม แต่ก็จะเป็นส่วนที่เรียกกันว่า เวียดนามใต้นะครับ แต่เดิมนั้น ที่นี่ ชื่อ ไซ่ง่อน ครับ แต่ต่อมาได้เปลี่ยน มาเป็นโฮจิมินห์ แทน สำหรับบางท่านอาจยัง สับสนนะครับว่า เมือง โฮจิมินห์ นี้เป็นเมืองหลวงของเวียดนาม แต่โดยแท้จริงแล้วนั้น เมืองหลวงของเวียดนามคือ เมืองฮานอยครับ แต่โฮจิมินห์ จะมีความสำคัญในลักษณะ ของเมืองที่ เป็นเมืองค้าขาย เสียมากกว่า เมืองโฮจิมินห์ นี้ จึงเป็นที่สนใจของชาวต่างชาติ ที่อยากทำธุรกิจ ต่างๆอยู่มาก
และด้วยธุรกิจนี่แหละครับ ผมจึงเดินทางมาที่นี่ในครั้งนี้ เพราะ ในช่วงที่ผมเดินทางมาที่นี่นั้น เขามีงานแสดง สินค้า และ ประเพณีสงกรานต์ หรือ Thailand outlet and Songkran Festival ซึ่งภายในงานนั้น จะจัดแสดงสินค้าที่มาจาก ประเทศไทยครับ และผมก็ได้เดินทางมากับคณะนักธุรกิจ ของไทยด้วย แถมยังมีรายการท่องเที่ยว ด้วย เรียกว่า ยิงนกนัดเดียวได้สองต่อครับ ฮิฮิ
เมื่อก้าวเท้าออกจากสนามบิน เราก็รู้สึกๆได้ถึงความร้อน ไม่แพ้บ้านเราเลยครับ จากนั้น ก็เดินทางสู่บู๊ทกันเลย เอาเป็นว่าในส่วนของงานนั้น ผมไม่ขอบรรยายถึงนะครับ ไปเที่ยวกันดีกว่า สนุกกว่าเยอะ
สิ่งแรกๆ ที่สังเกตเห็น นั้นคงจะเป็น ตึกเก่าๆ ที่ยังมี สถาปัตยกรรม แบบ ฝรั่งเศส เสียส่วนใหญ่ ตึกที่เป็นสีเหลือง ส่วนมากก็จะเป็นสถานที่ ราชการ ครับ แต่ตึกที่นี่ก็ชอบทาสีเหลืองนะครับ เพราะ อะไร? เฉลย เพราะ เขาเชื่อกันว่า สีเหลือง เป็นสีที่ขึ้น รา ยากครับ มองไปสองข้างทาง นั้น ก็จะมีร้านกาแฟอนุบาล ซึ่ง จะใช้โต๊ะเล็กๆเตี้ยๆ แบบ โตีะ ญี่ปุ่นตั้งกับพื้น พร้อมด้วยเก้าอี้ เตี้ยๆเช่นกันวางเอาไว้รอบๆ น่ารักดีครับ และคนที่นี่ เขาก็ชอบกันเสียด้วย โดยเฉพาะ กลางคืน จะมีร้านแบบนี้ เต็มฟุตบาทไปหมด และนอกจากนั้น ยังพบเห็น ร้านเติมลมมอร์เตอร์ไซค์ ตามข้างถนนอีกด้วย คือ มีปั๊มลม 1 ตัว เก้าอี้ 1 ตัวก็ทำธุรกิจได้แล้วครับ เพราะ ที่นี่มอร์เตอร์ไซค์ เยอะมากๆ มากจริงๆ เอ้าร่ายมาซะยาว พาไปเที่ยวกันก่อนดีกว่าครับ ก่อนที่จะอ่านจนตาลาย เสียก่อน
พิพิธภัณฑ์ สงคราม
มาถึงเวียดนามแล้วต้องมาที่นี่ครับ เพราะที่นี่จะแสดงให้เห็นถึง ความรุนแรงของสงคราม ซึ่งทำให้เรา เดินชมไปน้ำตาไหลไปได้เลย เพราะว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสลดใจเหลือเกิน
![]()
รถถัง เครื่องบิน ถูกจัดแสดงไว้ครบ อีกรูปคือคุกครับ
ผมแอบแบ่งเวลามาเที่ยวที่นี่ ด้วยเพราะอยากถ่ายรูปบางรูปที่ยังไม่ได้ถ่ายเก็บไว้ ปรากฏว่าวันนี้คนมากเป็นพิเศษ เพราะมีคณะนักศึกษามาเข้าชมด้วย เลยไม่ค่อยสะดวกนักครับ
ผู้คนกำลังให้ความสนใจกับประวัติของลุงโฮ(โฮจิมินห์)
ภายในพิพิธภัณฑ์นั้น จะแสดงแบ่งเป็นส่วนๆ คือ ส่วนที่มาของสงคราม รูปถ่ายต่างๆในช่วงสงคราม ส่วนของอาวุธในสงคราม ซึ่งบริเวณนั้นก็จะมี ปืนผาหน้าไม้ แสดงเอาไว้ รวมทั้งผลกระทบจากการได้รับการโจมตี ด้วย ฝนเหลือง สารพิษ ที่ร้ายแรงและน่ากลัวมากครับ ซึ่งเขาก็มีรูปผู้ที่ได้รับเคราะห์ให้ชมด้วย แต่ผมไม่ถ่ายมาให้ชมนะครับ ผมรู้สึกว่ามันโหดร้ายเกินไป นอกจากนั้น ก็ยังมี นิทรรศการรูปวาด ของเหล่านักเรียนเกี่ยวกับสงครามด้วย และอีกส่วนที่ สำคัญ และน่าสนใจมิใช่น้อยคือ คุก เพราะในบริเวณต่อเนื่องกันนั้นมีคุก ที่ใช้จองจำนักโทษด้วย ซึ่ง เขาก็จะจัดแสดง วิธีการทรมานนักโทษ ต่างๆนาน ให้เห็นแล้วจินตนาการได้เลยครับ นอกจากนั้นก็ยัง มี กิโยติน อีกด้วย ซึ่งแน่นอนครับใช้ประหาร ตัดหัวนักโทษนั่นเอง น่ากลัวดีครับ
อาร์มของทหาร อเมริกัน หน่วยต่างๆที่มารบใน สมรภูมิ เวียดนาม
![]()
![]()
รูปความรุนแรง และ ผลกระทบของสงครามครับ ขวาสุดรูปเด็กผู้หญิงกำลังวิ่งหนี ซึ่งโด่งดังมากครับ
ปืนและอาวุธต่างไๆ มีจัดแสดงให้ชม อย่างครบถ้วน
กิโยติน ของจริงๆ น่ากลัวดีครับ ตั้งอยู่บริเวณคุกเก่า
ถ้ำเสือ หรือคุก ซึ่ง เอาไว้ขังนักโทษแบบ ทรมานมาก เพราะ พื้นจะลาดเอียง ลง และให้นักโทษนอนเอาศรีษะ ไปทางที่ลาดลง เลือดจะตกไปอยู่ที่ศรีษะ ของนักโทษ ทำให้ ไม่สามารถ พักผ่อนได้เต็มที่ และยัง มี ตรวน คล้องข้อเท้าเอาไว้ด้วย ขยับไม่ได้เลย ภาพนี้ ถ่ายจากด้านบนครับ ตัวห้องด้านล่าง คือ ที่คุมขัง จะเห็นเงาของ หุ่นนักโทษ อยู่ด้านล่าง ทำได้ สมจริงดีครับ อยู่บริเวณคุกเก่าเช่นกัน
หลังจากที่เดินเที่ยว กันเสียนาน เหลือบมามองนาฬิกา ก็ตกใจ เพราะว่าได้เวลา อันสมควรแล้ว ที่จะเดินทางต่อ จึงออกจากพิพิธภัณฑ์ แล้วเดินทางไปยัง อาคารรัฐสภา (เก่า)
อาคารรัฐสภา
แต่เดิมอาคาร รัฐสภานี้ เป็นที่ทำการของทางฝ่ายเวียดนามใต้ แต่ในที่สุด เมื่อถึงวัน ไซง่อนแตก ก็ถือเป็นจุดสิ้นสุดของ การใช้อาคาร นี้ เป็น อาคารรัฐสภาครับ
ปัจจุบัน อาคารรัฐสภาเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชม ห้องต่างๆ ภายในตัวอาคาร และผมก็ไม่พลาดครับ แต่ด้วยเวลา ที่กระชั้นชิด นั้น ทำให้ผมไม่สามารถเก็บรายละเอียด ได้มากนัก
อาคารรัฐสภา เด่นสง่า สมกับเป็นรัฐสภาจริงๆ
ภายในอาคารมีทั้งหมดประมาณ 4 ชั้น แต่ถ้าขึ้นลิฟท์ จะมีแค่ 2 ชั้น คือชั้นล่างกับดาดฟ้า เพราะผมหลงอยุ่ในนี้ต้องนาน อาคารนี้มีซอกหลืบมากมาย เดินแล้วงงครับ
ห้องรับรอง อยู่ที่ชั้นล่าง ใหญ่โตพอสมควร
ห้องประชุม ทั่วไป
ในส่วนลึกที่สุด คือชั้นใต้ดิน เพราะ เป็นซอกซอย เยอะมาก จะเป็นส่วน บังคับการ และ สื่อสาร วิทยุ ต่างๆ เรียกได้ว่าเป็นส่วน สำคัญ ที่สุดของ ตึกนี้เลย เมื่อเราเดินไปชมไป จะไปออกในอีกด้าน ของตึก ซึ่ง ทางออก จะอยู่บริเวณห้องครัว ครับ เอาไว้หลบหนีโดยเฉพาะ ลึกลับดีไหม
มองจากชั้นบนสุดของอาคาร มองเห็นสนามหญ้า และถนน สวยงามดีครับ และบนด้านฟ้านี้สามารถ จอด เฮลิคอปเตอร์ ได้อีกด้วย ดาดฟ้าของ อาคารนี้ เคยถูกยิงถล่ม ถึงสองครั้ง เขาได้ ทำการ บอกตำแหน่งไว้ให้ดูด้วยครับ
เมื่อครั้งวัน ไซ่ง่อนแตก นั้นมีรถถัง สองคัน ได้บุกเข้ามายังอาคารรัฐสภา สำเร็จ และ ได้ชูธง ดาวแดงโบกสะบัดเหนือ อาคารรัฐสภา ถือว่า เป็นการได้รับชัยชนะของฝ่าย เวียดนามเหนือ ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อได้เดินชม และ หลง อยุ่ในตึกเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินทางเข้าไปยังบริเวณงานต่อ ก็จะมองเห็น หนุ่มสาว ชาว เวียดนาม เขานั่งจีบกันอยู่ ตามสวนสาธารณะ เต็มไปหมด ที่นี่เขาจะถือว่าการแสดงออกทางความรัก เป็นเรื่องปกติครับ เพราะได้รับ อิทธิพล วัฒนธรรมของฝรั่งเศส มาพอสมควร แต่เขาก้ไม่ได้ทำอะไรน่าเกลียดมากนักนะครับ
ช่วงเย็นผมไปรับประทานอาหารกัน ที่แม่น้ำไซง่อน เป็นแบบล่องเรือ ครับ
ซึ่งการรับประทานอาหารแบบล่องเรือนั้น ก็จะได้รับตวามนิยมมากในหมู่ นักท่องเที่ยว และคนที่มีสตางค์ ของที่นี่ เรือก็จะออกล่องไปเรื่อยๆ ให้เราได้ชมสองฝั่งของแม่น้ำ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็น เรือขนสินค้ารายรอบ และยัง มีการแสดง เล็กๆน้อยๆบนเรืออีกด้วย ที่สำคัญ ขอเขารู้ว่ามีคนไทยรับประทานอาหาร เขาจะร้องเพลง ลอยกระทง ทันที ที่ผมเล่านี่ไม่ใช่อะไรหรอกครับ พอเพลงขึ้นเท่านั้น ชาวญี่ปุ่น และ ฝรั่ง ที่นั่งรับประทานอาหารอยู่ ลุกขึ้นมารำวงทันที ในขณะที่เราเป็น คนไทยแท้ๆยังนั่งเฉยๆเลยครับ ในที่สุดเลยต้องลุกไปรำด้วย ไม่ให้เสียชื่อ ประเทศไทย และต้นตำรับ รำวง เห็นไหมครับ วัฒนธรรม และ ประเพณี ของเรา ได้รับความสนใจ และเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ ขนาดไหน เราจงภูมิใจในความเป็นไทยของเรานะครับ เดี๋ยวเขาจะเอาของเราไปเสียหมด
พอกลับจากรับประทานอาหารแล้ว ก็ลองไปเดินเล่นนั่ง ดื่มกาแฟอนุบาล สักหน่อย รู้แล้วครับ เขาชอบนั่งริมถนนเพราะ ดูรถวิ่งไปวิ่งมานี่เอง เพลินดีครับ แต่ไม่ควรไปคนเดียวนะครับ ที่นี่ไม่แพ้เมืองไทยในเรื่อง ความปลอดภัย
สำหรับเวียดนามใต้นั้น ผมไม่ค่อยได้แอบไปเที่ยวมากนัก จึงมีเรื่องราวมาฝากแค่นี้ ถือว่าเรียกน้ำย่อยก่อนนะครับ เพราะ ผมยังต้องไปเวียดนามเหนือด้วย และ เวียดนามเหนือนั้นผมจะได้เที่ยวเสียส่วนใหญ่ครับ อย่าลืมอ่าน สกู๊ปเวียดนามเหนือ เป็นตอนต่อไปนะครับ อ้อ อีก สกู๊ปหนึ่งที่แนะนำคือ โทรกลับบ้านจากเวียดนาม อย่าลืมอ่านนะครับ