>น้ำตกลงรู

สวัสดีครับ ในที่สุดบทความนี้ ก็ได้ออกมาสู่สายตาทุกท่าน ผมจะพาท่านชมบรรยากาศ การเดินทางของทริป แห่เทียน พรรษา เมื่อวันที่ 30 – 1สิงหาคม 2547 ที่ผ่านมา ทุกๆท่าน ก็สนุกสนาน กันเต็มที่

วันนี้ นายเกริกเกียรติ ก็เดินทางมากับ คำปู้จู้ สาวเหนือ ทีมงานของ เรา ซึ่ง เรื่องราวการเดินทางนั้น เธอจะมาเล่าให้ฟังครับว่า สนุกสนาน ประทับใจเพียงใด

คำปู้จู้ (ดาวเรือง…..เจ้า)

สวัสดีค่ะ การเดินทางของ พวกเราเริ่มต้น จากเมืองหลวง แสน สิวิไลย์ สู่เมือง ยโสธร เมืองที่หลายๆครั้งเคยได้ เดินทางผ่าน แต่ในครั้งนี้เรา ได้แวะเที่ยวกันสักนิด เราแวะ กันที่ วัดพระธาตุ ซึ่งเป็นที่ประดิษฐาน พระหยดน้ำค้าง องค์พระขนาด 1.9 นิ้ว ซึ่งเป็ที่เคารพของ ชาวยโสธร อย่างมาก แต่เราก็ต้องขออนุญาติ ท่านเจ้าอาวาส ก่อนนะคะ เพราะ ท่านได้ประดิษฐานไว้ในห้องซึ่งมีการ ล็อคกุญแจ แน่นหนา ต้องขอให้ท่านอัญเชิญมาให้เราได้ ชม และ นมัสการกัน

จากนั้น รถของเราก็มุ่งตรงสู่ จ.อำนาจเจริญ เพื่อไปชม พระมงคลมิ่งเมือง แล้วมุ่งสู่ จ. อุบลราชธานี กันต่อ


มาถึงก็ต้องถ่าย รูปกับป้ายกันหน่อย

ในตอนเช้าหยิบกระเป๋า แล้วเดินทางไป เบิ่ง น้ำตกลงรู หรือ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ น้ำตก แสงจันทร์ ซึ่ง นับว่า เป็นมหัศจรรย์ ที่ธรรมชาติได้สร้างสรรค ์ และยังเป็น สถานที่ ท่องเที่ยว UNSEEN อีกด้วย ได้แปลกประหลาดที่สุด ส่วนที่มาของชื่อนี้น่าจะมี 2 ประการ คือ ยามค่ำคืนนั้น จะมีแสงจันทร์สาดส่อง ผ่านรู ของน้ำตก แสงนั้น จะ ส่องลงมากับสายน้ำ สวยงามมาก หรือ อีก นัยย์หนึ่งคือ รูที่ปรากฏนั้น เปรียบเสมือน ดวงจันทร์ที่สาดแสง ส่อง ลงมานั่นเอง การเดินทางของเรานั้น ก็ไม่ลำบาก แต่เส้นทางเข้าน้ำตกนั้น ยังไม่ใหญ่มากนัก จึงอาจดูคับแคบสำหรับ รถโค๊ช 8 ล้อ 2 ชั้น แต่ถ้ารถเล็ก ก็สบายมากค่ะ


สังเกตุดูรูของน้ำตกนี้ใหญ่ไม่ใช่เล่น เทียบกับ นักท่องเที่ยวที่ยืนอยู่ด้านหลัง

ธารน้ำด้านบน ก่อนไหลลง สู่ด้านล่าง มีน้ำตลอดทั้งปี

มาถึงตัวน้ำตกต้องร้อง โอ้โห เพราะไม่อยากเชื่อว่า รูของ น้ำตกนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าที่คิด และ มีน้ำมากด้วย เพราะใกล้หน้าฝนนี่เอง จากนั้นเดินเท้าขึ้นไปสำรวจ ต้นน้ำกันเสียหน่อยจึงรู้ว่า ธารน้ำด้านบนนั้น ก็สวยไม่ใช่เล่น มีน้ำไหลลงมาเป็นระดับ แถมน้ำยังใสอีกต่างหาก

และแล้วสิ่งที่เรารอคอยก็มาถึง เราเข้าร่วมชม ขบวนงาน แห่เทียนพรรษา ในช่วงเช้า ประมาณ 9.30 น. ประธานเปิดงาน พร้อมกันนั้น เราก็ได้ชม ขบวนแห่เทียน จากวัดคุ้มต่างๆ พร้อมธิดาประจำต้นเทียน และ ขบวนต่างๆ ซึ่ง แสดงถึงวิถีชีวิตของคนเมือง อุบลฯ

ต้นเทียนแต่ละต้นได้รับการแกะสลัก อย่างปราณีตบรรจง สีเหลืองของต้นเทียน สวยงามและ เป็นสิ่งแสดงออก ถึง ความศรัทธา ในศาสนาพุทธ แต่ขบวน แต่ละชุด แกะสลัก เป็นเรื่องราวต่างๆ ในพุทธศาสนา

  
  
เทียนบางต้นสีสัน แตกต่างกันบ้าง

บางขบวนมีต้นเทียนที่สีแตกต่างกัน เพราะ ขั้นตอนการทำเทียน และส่วนผสมแตกต่างกัน

นอกจากนั้น ขบวนจากโรงเรียนต่างๆยังมีการแสดง ฟ้อนรำ และ ประเพณีพื้นเมืองต่างๆ อีกด้วย

ที่ คำปู้จู้ ชอบคือขบวนเรือยาว ซึ่งมีนักเรียนหลายคน ทำเป็นฝีพาย แลดูมีความคิดสร้างสรรค์ดีค่ะ

แต่ที่น่าแปลกคือ คนกรุง ไม่ค่อยมาชมกันสักเท่าไหร่ ทั้งๆที่ชาวต่างชาตินั้น ให้ความสนใจอย่างมาก คำปู้จู้ คิดว่าเราในฐานะคนไทย ควร ที่จะใส่ใจ และให้ความสนใจกับ ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษเรา บางครั้งคนรุ่นใหม่มองว่า สิ่งเก่าๆนั้น ล้าสมัยจนเกินไป ไม่ทันสมัย ตกยุค ไปเสียหมด แต่อย่าลืมนะคะว่า ก่อนที่จะเป็นเรานั้น พ่อ แม่ และ บรรพบุรุษ ของเราก็ เคย ที่ปฏิบัติ และยึดถือกันมา ดังนั้น เราจึงไม่ควรทำลาย สิ่งดีๆ ที่ บรรพบุรุษของเราสืบทอดกันมา นะคะ

ขนบธรรมเนียม ประเพณีของเรา กำลังถูกลืมเลือน ไปทุกวัน หากคนรุ่นใหม่ อย่างพวกเรา ไม่อนุรักษ์ ไว้ แล้ว ใครจะอนุรักษ์ ใช่ไหมคะ


ขบวนเรือยาวที่มี ความคิดสร้างสรรค์ดีคะ

อ้าวพูดมาซะนาน พูดไปก็พลางนึกไป และ ขบวนแห่เทียน ไปด้วย ต้นเทียนเหล่านี้สวยงาม และ ปราณีตเสียจริง เพียงเรามองเห็นด้วยตา เราก็จะทราบถึงจิตใจ ของผู้ที่ลงมือ ลงแรงแกะสลัก ว่า ต้นเทียนเหล่านี้ สร้างด้วยความจริงใจ ความศรัทธา และ ความสามัคคี

ใกล้เที่ยงเสียแล้ว เราต้องออกจาก งาน เสียก่อน สักนิด เพราะ ไม่เช่นนั้น รถติดอย่างแน่นอน เพราะในบางปีนั้น รถติดถึง 3 ชั่วโมงเลยทีเดียว

และในวันนี้ คำปู้จู้ ็จะเดินทางกลับ กรุงเทพฯ แล้ว พร้อมกับ ความภาคภูมิใจ ที่อย่างน้อย เรา คนตัวเล็กๆ คนนึง ก็มีส่วนได้ อนุรักษ์ประเพณี และ ทำนุบำรุง ศาสนา ให้เจริญงอกงามคู่สังคมไทย ต่อไป

การท่องเที่ยว มิได้ให้แค่ความบันเทิง หรือ พักผ่อนหย่อนใจ แต่ยังได้อีกหลายๆสิ่ง ที่เราไม่คาดคิดด้วยคะ โอกาสหน้าพบกันใหม่ สวัสดี เจ้า