>>> เซอรามัตดาตัง 8 วัน มาเลเซีย(ภาค2)

เซอรามัตดาตัง อีกครั้งครับ คราวนี้เรามาอ่าน การเดินทางท่องเที่ยว มาเลเซีย อีก 4 วันที่เหลือกันต่อนะครับ หลังจากที่ ใช้เวลา4 วันก่อนหน้านี้ ท่องเที่ยว มาเลเซีย ทั้ง คาเมรอน ไฮแลนด ์ปุตราจายา และ กัวลาลัมเปอร์ ไปอย่างเต็มอิ่มแล้ว วันนี้ (วันที่ 5 ) ผมก็จะเดินทางต่อไปยัง ปีนัง เกาะ ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เกาะหนึ่ง ของมาเลเซีย ซึ่งคำว่า เกาะของ มาเลเซียนั้น เขาจะเรียกว่า ปูเลา ครับ ซึ่งเมื่อเรียกเต็มๆ แล้วก็คือ ปูเลาปีนัง นั่นเอง

เมื่อเดินทางสู่ปีนัง สิ่งแรกที่จะต้อนรับเรา ก็คือ สะพาน ข้ามสู่เกาะปีนัง และ สะพานที่นี่แหละครับ ที่เรียกได้ว่ายาว ที่สุดในโลก เพราะมีความยาวของตัวสะพาน จนถึงเกาะปีนัง ทั้งหมด 13 กิโลเมตรด้วยกัน เรียกได้ว่า นั่งรถจนไม่รู้สึกว่า อยู่บนสะพานเลย เพราะยาวมาก

เมื่อข้ามมาถึง เกาะปีนังแล้ว ก็เริ่มท่องเที่ยว เลยครับ สถานที่ท่องเที่ยวที่แรก ก็เห็นจะเป็น วัดไทย และ วัดพม่า ซึ่งวัดไทยนั้น มีวิหาร หมื่นพระ และ เจดีย์ หมื่นพระด้วย

  ภาพภายในวิหารหมื่นพระ จะเห็นพระพุทธรูป บริเวณผนังวิหาร สวยงามแปลกตาดีครับ

จากนั้นผมกเ็ดินทางไปยัง ปีนังฮิลล์ เพื่อ ขึ้นชมวิว ทิวทัศน์โดยรอบของเกาะปีนัง แต่น่าเสียดาย อย่างมากครับ เพราะปีนัง ฮิลล์ ได้ทำการปิดซ่อมแซม รถรางเพื่อขึ้นชม ผมเลยอดได้ภาพ สวยๆมาฝากทุกๆท่านเลยครับ

เมื่อพลาดจากปีนังฮิลลล แล้ว ผมจึงเดินทางต่อไปยังวัดเขาเต่า วัดจีนซึ่ง มีขนาดใหญ่ และยัง มีชื่อเสียงมากอีกด้วย

วัดเขาเต่า นี้ ตั้งอยู่บนภูเขาเลย เมื่อก่อนเวลาจะเข้าชมต้องเดินไกลมาก และยังต้องเดินขึ้นเขาอีกด้วย แต่ปัจจุบันนี้ ได้ทำถนน ขึ้นภูเขาแล้วทำให้ สะดวกสบาย มากยิ่งขึ้นครับ วัดเขาเต่า มีเจ้าแม่กวนอิม ที่ศักดิ์สิทธิ์ มาก ประดิษฐานอยู่ด้านบน และ ยังสามารถ ชมวิว สวยๆ ได้อีกด้วย ไม่แพ้ ปีนังฮิลล์ ครับ

 

เมื่อไปชม วัดเขาเต่า แล้ว ผมก็กะว่าจะพักไปเดิน ช๊อปปิ้งบ้าง เพราะว่า มาที่นี่ ตั้ง 8 วัน ยังไม่ได้ชีอปปิ๊ง เลย จึงเดินทางไปแถบ ศูนย์กลางของเกาะปีนัง ซึ่งอยู่ทางตอนเหนือ ของเกาะ เดินเที่ยวลบริเวณแหล่งชีอปปิ๊ง จนมือเลยครับ

นี่เป็นวัดๆหนึ่งที่พอดีเดินผ่าน จึงถ่ายรูปมาฝาก ครับ แกะสลักจากหินทั้งหมด

วันที่หก วันนี้ ผมต้องออกเดินทางต่อแล้วครับ บางท่านอาจสงสัยว่าทำไมไม่ค่อยมีที่เที่ยวทางธรรมชาติบ้าง เลย มีครับ ที่มาเลเซีย ที่ อุทยานแห่งชาติหลายแห่ง เอาไว้ผมจะ ไปเจาะลึกให้ชมกันอีกที คราวนี้ ถือว่า เที่ยวชมบ้าน ชมเมือง ไปก่อน

ร่ายมาซะยาว วันนี้ ผมจะเดินทางไปยัง เกาะลังกาวี แล้วครับ เกาะลังกาวี นี้ แต่เดิมไสม่มีความ เจริญมากนัก แต่ต่อมา รัฐบาล ได้ประกาศให้เป็นเกาะปลอดภาษี จึงทำให้ ลังกาวี เจริญขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ ปีนัง แย่ลงไปเลย

การเดินทางไปยังเกาะลังกาวี นั้น ต้องเดินทางโดยเรือ อย่างเดียวครับ มีเรือโดยสาร ขนาดใหญ่ ให้บริการอยู่หลายเจ้า โดยใช้เวลาเฉลี่ย ไม่เกิน 2 ชั่วโมง หากต้อง การเดินทางจากไทย ก็ได้ครับ โดยลงเรือ ที่ จ. สตูล

เมื่อมาถึง ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มเที่ยวครับ ที่เที่ยว บนเกาะลังกาวี นั้น ไม่มากนัก แถมยัง เป็น สิ่งก่อสร้าง เสียส่วนใหญ่ ที่น่าสนใจที่สุดคือ อันเดอร์วอเตอร์ เวิลดิ์ ครับ ซึ่งมีทั้ง น้ำจืด และ น้ำเค็ม

  

ตู้ปลาน้ำจืดกับไม้น้ำสีสดใส | ปลาช่อนอเมซอน หรือ อราไพม่า ยาวกว่า 3 เมตร | นาคเล่นน้ำ น่ารักดีครับ

 

ส่วนของปลาทะเล และปะการัง จัดได้เยี่ยม | ปลาสิงโตครับ กินแมลงโดยการ พ่นน้ำใส่ แมลง

ส่วนเจ้าตัวนี้หาชมยากมาก คือ ม้าน้ำใบไม้ หรือ leafy seadragon ตัวนี้ถูกส่งมาจาก ออสเตรเลียครับ โดยปกติ จะอยู่ที่ความลึก 5-50 เมตร และจะอยู่ในน้ำที่อุณหภูมิ ประมาณ 15-20 ํเท่านั้น

เมื่อเสร็จเรียบร้อยจากการเดินเที่ยว ในอันเดอร์ วอเตอร์เวิลดิ์ แล้ว ผมก็เดินทางไปยัง แกลลอเรีย เปอร์ดาน่า ซึ่งเป็นที่เก็บรวบ รวม ของต่างๆ ที่ ดร.มหาธีร์ ได้รับ จากคนสำคัญๆ ทั่วทุกมุมโลก ทั้ง ของมีค่าต่างๆ รวมถึงรถยนต์ด้วย ลักษณะ จะเป็น อาคาร 2 อาคาร มี 2 ชั้น เรียกว่าเดินกันจนเมื่อยเลยครับ

แต่ที่นี่มิได้อนุญาต ให้เรานำกล้อง ถ่ายรูปเข้าไปข้างในครับ ก็ดีครับเพราะกล้องผม การ์ดเต็มพอดี แต่คิดไปคิดมา แย่สิครับ เพราะ ยังเหลือที่เที่ยวอีกเลย ถ่ายรูปมาไม่ได้เลย เซ็งไปเลย

หลังจากที่เที่ยว แกลลอเรีย เปอร์ดาน่า แล้ว ผมก็เดินทางไปเที่ยวที่หาด ทรายดำ (หาดบันไดเจนัง ) ซึ่งเป็นหาดเล็กๆ ที่มีทรายสีดำ ซึ่งเกิดจากแร่ธาตุ ถูกกระแสน้ำพัดไหล มาตกตะกอนครับ แต่เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ผมมาที่นี่ ทรายที่นี่ มีสีดำกว่า ครั้งนี้ แสดง ว่า อีกไม่นาน ทรายที่นี่อาจไม่ดำอีกต่อไปครับ เพราะ อาจโดนกระแสน้ำพัดไป หรือ สายแร่เริ่มหมดลง ก็ได้

เมื่อเที่ยว หาดทรายดำแล้ว ก็เดินทางเที่ยวต่อไปยัง สุสานพระนางมะสุหรี ซึ่งเป้นสถานที่ๆ ท่านเคยประทับอยู่ พระนาง มะสุหรีนั้น แต่เดิม เป็นชาวจังหวัด ภูเก็ต แล้วได้แต่งงานกับเจ้าเมือง ของ เกาะลังกาวี จึงย้ายมาอยู่ที่นี่ และเมื่อเจ้าเมือง ไม่อยู่ได้มีคนคบคิด ใส่ร้ายกล่าวหาว่านางมีชู้ ซึ่งตามความผิดนั้น ต้องถูกประหารชีวิต นางจึงอธิฐาน ขอให้ ถ้านาง ไม่มีความผิดจริง เมื่อโดนกริชแทงแล้ว เลือดจะไหลออกมาเป็นสีขาว และถ้าเป็นเช่นนั้น ขอให้เกาะ ลังกาวี ไม่มีความ เจริญ ไป7 ชั่วโคตร ซึ่ง เมื่อนางถูกประหารแล้ว เลือดไหลออกมาเป็นสีขาวจริง ประชาชนจึงพากันตกใจ และรุ้สึกผิด เสียใจ กันอย่างมาก และว่ากันว่า ลังกาวี ไม่มีความเจริญ มา 7 ชั่วอายุคน จนถึงยุคนี้จึงพ้นคำสาป

บริเวณสุสาน นั้น เมื่อเราเดินเข้าไป จะพบสุสานของพระนางก่อน แล้ว ข้างในถัดเข้าไปจะเป็น บ้านแต่เดิมของพระนาง และยังมี บ่อน้ำซึ่งพระนางเคยใช้ อุปโภค บริโภค ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ด้วย

เสริมอีกนิดครับ ก่อนที่พระนาง จะถูกประหารชีวิตนั้น พระนางได้ขอเดินทางไปศึกษา ธรรม ที่ประเทศศรีลังกา และในขณะเดินทางกลับ นั้น พระนาง ได้แวะสร้างวัด ที่ภูเก็ต วัดหนึ่ง ซึ่งทุกวันนี้เรียกกันว่า วัดพระนาง สร้าง นั่นเอง

และผมก็จบการเดินทางในลังกาวี ที่ ตลาดกัวฮ์ ซึ่งนับว่าเป็นตลาด ขายสินค้าปลอดภาษี ที่ใหญ่ที่สุดในเกาะนี้ และเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวที่สุดด้วย ท่านสามารถหาซื้อของฝากได้มากมายที่นี่ แถมยังแลกเงินได้หลายที่อีกด้วย บางร้านพนักงาน สามารถพูดไทยได้ หรือ อาจเป็นคนไทยก็มีครับ

น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถถ่ายภาพมาให้ชมกันได้ จะได้เห็นว่าบรรยากาศเป็นอย่างไร ในค่ำคืนนี้ ผมก็เข้าที่พักใกล้ๆ ตลาด ครับ และวันพรุ่งนี้ ก็จะเดินทางกลับแล้ว

วันที่เจ็ด วันนี้ ผมเดินทางจาก เกาะลังกาวีแต่เช้าตรู่ เพื่อเดินทางกลับ มายัง ประเทศไทย ผมเดินทางมาถึง หาดใหญ่ ที่เวลา ประมาณ บ่าย 3 โมงเย็น แล้วต้องรอ รถไฟ ซึ่งรถไฟเที่ยวที่ผมจะเดินทางกลับนั้น จะออกเวลา 6 โมงเย็นครับ รอกันนานหน่อย จึงออกไปเดินเล่นชมตัวเมืองหาดใหญ่ เป็นการฆ่าเวลา ไปเที่ยว ตลาดกิมหยง ห้าง โรบินสัน ฯลฯได้ของ ติดไม้ติดมือมาอีกเพียบ คราวนี้ลำบากแล้วสิครับ เพราะ ต้องขนขึ้นรถไฟอีกด้วย เหนื่อยอีกแล้วเรา เมื่อได้เวลาที่รอ 6 โมง เย็นเสียที ก็ขึ้นรถไฟ เพื่อกลับสุ่กรุงเทพฯ ของเรา อาหารเย็นก็บนรถไฟครับ เดี๋ยวนี้อร่อยกว่าเดิมมาก เมื่ออิ่มแล้ว ก็นั่งเล่นสักพัก จึงหยิบเอา โทรศัพท์ กับซิมการ์ด มาถ่ายรูป ทำสกู๊ป โทรกลับบ้านจากมาเลเซีย ครับ แล้วค่อยเข้านอน

วันที่แปด เสียง ปู๊นๆ ๆ ดังขึ้น ผมตื่น ขึ้นมาด้วยความงง เราอยุ่ไหนเนี่ย ? หยิบตารางเวลารถไฟมาดู อ้อ นครปฐม นั่นเอง ท้องเริ่มร้องแล้วหละ สั่งอาหารเช้ามารับประทาน กันหน่อย เสร็จแล้วก็จัดเก็บข้าวของต่างๆ เตรียมลงรถ ในที่สุด รถไฟก็มาถึง สถานีรถไฟ หัวลำโพง กรุงเทพฯ ภาพต่างๆที่คุ้นเคย ก็กลับมา ทั้งคนจอแจ ขยะ เสียงดัง ฝุ่น รถติด ถึงแม้จะรู้สึกว่า แตกต่างกับมาเลเซีย มาก แต่ถึงอย่างไร ที่นี่ ก็คือเมืองไทย บ้านเรา ที่ๆเรารู้สึกอุ่นใจ และ รู้ดีว่า ผู้คนรอบๆ ตัวเรานั้น เป็นมิตร กับเรา มากกว่าที่ไหนในโลก ดีใจครับ ที่ได้เกิด มาเป็นประชาชน ในแผ่นดินในหลวง….สวัสดีครับ