ซินจ่าว ทุกๆท่านครับ มาที่นี่ เวลาทักทาย กันสวัสดีกัน ต้องใช้คำว่า ซินจ่าว ครับ แต่ของเขาจะไม่มี สวัสดีตอนเช้า ตอนกลางวัน นะครับ สวัสดีคำเดียวได้ทั้งวันเลย มาถึงวันนี้ คือการเดินทางวันที่ สามของผมแล้วครับ โดยผมได้นั่ง เครื่องบิน สายการบินในประเทศ ของเวียดนามแอร์ไลน์ จาก โฮจิมินห์ มายัง ฮานอย โดยใช้เวลา ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเท่านั้น และนับว่าสายการบินนี้ มีบริการที่ดีมากครับ แอร์โฮสเตส ยิ้มแย้มและเอาใจใส่ดี แถมยัง บินขึ้น ลง นิ่มอีกด้วย เมื่อ เครื่องบินลงถึงพื้น ของสนามบิน นอยไบ่ ที่ฮานอย ซึ่งนับว่าทันสมัย ที่สุดในเวียดนามแล้ว ผมก็รีบขึ้นรถ ต่อทันที เพราะ ต้องเดินทางอีกค่อนข้างไกล คือประมาณ 150 กิโลเมตร หรือ 3 ชั่วโมงนั่นเอง เพราะรถที่นี่ เขา ให้วิ่งความเร็วแค่ 60 ก.ม.ต่อชั่วโมงเท่านั้น แต่เราก็ลักไก่ ขับเร็วกว่าหน่อยครับ ระหว่างทางสู่ ฮาลอง เบย์นั้น จะได้พบเห็นไร่นา สวนผสม มากมาย ซึ่ง ที่นี่ยังทำเกษตรกันอยู่มาก แถมอากาศยังเย็นอีกด้วย เพราะ ฮานอยนั้น อยู่ค่อนไปทางเหนือมากแล้ว เล่นเอาผมอาการไม่ค่อยดีจะไข้ขึ้นเลยครับ และแล้วเราก็มาถึง ฮาลอง เมืองท่าที่น่าสนใจ มากๆครับ แวะรับประทานอาหารเย็นกันก่อน แล้วจึงเข้าที่พัก ที่พักส่วนใหญ่บริเวณนี้ จะเป็นระดับดีทั้งหมด มีตั้งแต่ 3 ดาว จนถึง 5 ดาวเลยครับ เอาหละ นอนพักผ่อนกันก่อน วันพรุ่งนี้จะได้มีแรงเที่ยว
แปดโมงเช้า ตื่นมาสูดอากาศที่แสนสดชื่น ก่อนจะเดินทางสู่ท่าเรือ เพื่อลงเรือล่องเที่ยวอ่าวฮาลองนั่นเอง เรือที่จะพาเราล่องนั้น จะเป็นเรือไม้ทั้งหมด และจุดหมายของเราอยู่ที่การท่องเที่ยวถ้ำ วังสวรรค์ ครับ เช้าวันนี้ มีหมอกลงค่อนข้างหนาทำให้ เราเห็น เกาะแก่งต่างๆน้อยลง แต่ก็แปลกไปอีกแบบนึงครับ รู้สึกเหมือน อยู่ใต้ม่านหมอก ตลอดเวลา เรือล่องมาประมาณ ครึ่งชั่วโมงเราก็มาถึง ยัง จุดหมาย ว่าแล้วก็เดินขึ้นไปเที่ยวถ้ำวัง สวรรค์ กันเลยครับ ถ้ำวังสวรรค์ นั้น เป็นถ้ำหินปูน ที่มีโถงถ้ำ ภายในขนาดใหญ่มาก คือ ประมาณสนาม ฟุตบอล ย่อมๆเลยครับ และด้วยความใหญ่ มีเพดานถ้ำที่สูง เราจึงรู้สึกเย็นสบายตลอดการเดินชมครับ
หินงอกหินย้อย ที่กระทบแสงไฟสีต่างๆ สวยงามดีครับ
ภายในถ้ำจะมีการประดับ ประดับ หินงอกหินย้อย ต่างๆด้วยแสงไฟ หลายสีสัน เดินชมแล้วเพลินเพลินมากครับ เพราะ ความที่หินงอก และหินย้อยมีรูปร่างสวยงาม แตกต่างกันไป ทำให้เราจินตนาดการเป็นรูปต่างๆ ไปด้วและ ภายใน ถ้ำนี้ยังมี หินงอกหินย้อย แทบทุก ประเภท ทั่งที่มี แสงระยิบระยับ ออกมา และที่ข้างในกลวง เคาะแล้วมีเสียงกังวาล หรือ แม้จะเป็น เสาหิน ที่มีขนาดใหญ่ๆ ทั้งนั้น ครบเครื่องเลยครับ
โถงถ้ำขนาดใหญ่ ซึ่ง กะ ด้วยสายตาแล้วน่าจะมีความสูงจากพื้นถึงเพดานถ้ำ เทียบได้กับตึก 4 ชั้นเลย
ถังขยะตามสถานที่ท่องเที่ยวในเวียดนาม จะมีหน้าตาแบบนี้ น่ารักไหมครับ เห็นแล้วอยากมีขยะไปทิ้งจัง
ถ้าเป็นบ้านเรา ก็คงจะเชื่อหัวเรือมีแม่ย่านางสถิตย์อยู่ แต่เวียดนามเขาทำเป็นมังกรครับ
เมื่อได้ท่องเที่ยวในถ้ำวังสวรรค์ กว่า ชั่วโมงแล้วก็ออกมาลงเรือต่อเพื่อ ที่จะล่องเรือ ไปเที่ยวชมธรรมชาติในอ่าว ฮาลองเบย์ อันที่จริงแล้ว ยังมีถ้ำและสถานที่ท่องเที่ยวอีก 10 กว่าแห่ง แต่เวลาของเรามีจำกัด เพราะ ต้องเดินทางกลับไปยัง ฮานอยเลย จึงต้องใจ อดเที่ยวไป เมื่อ เราลงเรือ แล้วเจ้าหน้าที่เรือก็นำอาหารมาเสริฟ ซึ่งเป็นอาหารทะเลสดๆ ทั้งนั้น อร่อยมากเลยครับ เรือได้พาเราล่องชม ทัศนียภาพไปเรื่อยๆ เราได้ชม เขารูปร่างแปลกตาต่างมากมาย และได้ชมวิถีชีวิตชาวเรือ อีกด้วย
ดูจะปกคลุมไปด้วยหมอก และ มืดไปหน่อยแต่ก็แปลกตาดีครับ
หลังอิ่มหนำสำาญแล้ว ก็เดินทางกลับสู่ฝั่ง แล้วขึ้นรถเพื่อเดินทางสู่ฮานอยเลยครับ เนื่องจากเวลาเราน้อย เพราะต้อง พบนักธุรกิจ และยังต้องเที่ยวด้วย จึง ค่อนข้าง รีบร้อนบ้าง บางครั้ง ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเช่นเคย เดินทางสู่ ฮานอย เมื่อมาถึงที่ฮานอยแล้ว เราก็เดินทางเข้าที่พัก ก่อนจากนั้นเดินทางออกมาชม หุ่นกระบอกน้ำ ซึ่งนับว่าเป็น การแสดง ที่หาชมได้ที่เดียวในโลก หลายๆ ท่านอาจสงสัยว่า หุ่นกระบอกน้ำ นั้นคืออะไร หุ่นกระบอกน้ำคือการเชิดหุ่นเโดย ยืนเชิดอยู่ในน้ำ ซึ่งหุ่นแต่ละตัวนั้น มีน้ำหนักประมาณ 20 กิโลกรัมทำให้ผุ้เชิดต้องใช้ความอดทนสูงมาก ครับ
สาเหตุที่เขามีการแสดงหุ่นกระบอกนั้น เริ่มมาจาก ในอดีตเมื่อฤดู น้ำมาถึง ชาวไร่ชาวนาจะว่างงานกัน จึง อาสัย ช่วง จังหวะที่น้ำท่วมนี้ เป็นช่วงที่เชิดหุ่นเล่นกันไปในตัว และทุกวันนี้ นับว่า เป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรม ของเขาเอาไว้ด้วย ในส่วนของ การเชิดหุ่นนั้นเนื้อเรื่องจะเกี่ยวข้องกับ ชีวิตความเป็นอยู่ ของชาวนา และ นิทานปรัมปราต่าง ๆ
ที่เห็นสีเขียวๆนั้น คือน้ำ แต่เขาสมมุติว่าเป็นพื้นดินครับ ส่วนคนเชิดจะอยู่หลัง ฉาก หุ่นกระบอกน้ำนี้ จะไม่ใช้การเชิดด้วยสาย แต่เป็นการเชิดด้วยกลไก ซึ่ง อยู่ที่ด้ามจับหุ่น จะเห็นว่ามีการ ใช้ไฟสี ไฟเย็น และ ประทัดเพื่อเพิ่ม สีสัน ในการชม แต่ก็ไม่มีเสียงดังนะครับ น่าเสียดายที่สุดคือ เขาไม่มีการบรรยายภาษาอังกฤษ เลยไม่รุ้เรื่องมากนัก
เมื่อได้ชม หุ่นกระบอกน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็ไปลองนั่ง สามล้อกันสักหน่อย ครับ สามล้อที่นี่ นั้น จะให้ผู้โดยสารอยู่ด้านหน้า และ คนถีบอยู่ด้านหลัง ส่วนราคาก็ตามแต่จะต่อรอง ซึ่งก็ต้องควบคุมให้เขาอยู่ในเส้นทาง ด้วยนะครับ ไม่อย่างนั้น พาเราวนอ้อมไป อ้อมมา แล้วอาจคิดเงินเราเพิ่มได้ แต่ถ้ใครได้ลองนั่งแล้วจะติดใจครับ ยิ่งตอนกลางคืนนั้น ยิ่ง สบาย ลมเย็นๆ ชมสีสันของเมืองเขา มีความสุขดีจริงๆครับ
นักท่องเที่ยวนิยมมานั่ง สามล้อกันมากครับ
และก็มาถึงวันสุดท้ายจนได้ ยังรู้สึกเที่ยวไม่เต็มอิ่มเลยครับ แต่ก็ต้องเดินทางกลับเสียแล้วน่าเสียดาย จริงๆ แต่วันนี้ ก็ยัง ได้ไปเที่ยว อีกหลายที่ครับ ซึ่งเป็นที่ๆสำคัญที่สุดด้วย
สุสานโฮจิมินห์
บริเวณนี้เรียกกันว่า จัตุรัส บาดิง เป็นที่ตั้ง ของสุสาน ท่านโฮจิมินห์ ด้วย ซึ่งอนุญาติให้เราเข้าชมได้ แต่จะปิดในวัน จันทร์ และวัน ศุกร์ และก็โชคร้ายครับ ที่โปรแกรมเราเดินทางไปที่นี่ในวันจันทร์ จึงอดเข้าชม โดย ที่ภายในนั้น จะ เก็บเอาศพ ของท่านโฮจิมินห์ เอาไว้ โดย เขาทำการฉีดน้ำยาเอาไว้ครับ ทำให้ยังคงสภาพอยู่เช่นเดิมเมื่อถึง เวลาแต่ละชั่วโมง จะมีการ สับเปลี่ยนเวรทหารที่เฝ้าหน้าสุสานด้วย ซึ่งเป็นที่สนใจของรนักท่องเที่ยวอีกเช่นกันครับ
จากนั้น เราก็จะเดินเท้าต่อไปยัง ชบ้านพักลุงโฮ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันมากนัก
ที่เห็นด้านหลัง คือบ้านพักลุงโฮสไตล์ ฝรั่งเศส และคณะนี้คือกลุ่มนักธุรกิจที่ผมร่วมเดินทางไปด้วยครับ
ที่บริเวณบ้านพักลุงโฮ นี้ จะเรียกได้อีกอย่างว่า ทำเนียบประธานาธิบดีก็ได้ ซึ่งเราจะได้ชมบ้านของ ท่านโฮจิมินห์ หลายหลังด้วยกัน หลังแรก คือตอนที่ท่านยังมีอายุไม่มากนัก จะเป็นอาคารแบบ เรียบง่ายชั้นเดียว (ตึกที่เห็นนั้น ท่านไม่ยอมอยู่) และต่อมา ก็ได้สร้างบ้านใหม่ เป็นบ้านไม้ ใต้ถุนสูง ซึ่ง เป็นหลังที่สอง จากนั้น เมื่อ ท่านเริ่มมีอายุมากขึ้น จึงได้สร้างบ้านหลังที่สาม ซึ่งเป็นบ้านชั้นเดียว เพื่อจะได้ไม่ต้องขึ้นลงบันได และเมื่อยามสงครามก็สร้างบ้านเล็กๆ หลังที่สี่ เพื่อ มีทางเดินเชื่อมยังหลุมหลบภัย เมื่อมีการทิ้งระเบิดเกิดขึ้น
รถที่ใช้ประจำของท่าน โฮจิมินห์ เปอร์โยต์ นั่นเอง
บ้านหลังที่สอง เป็นบ้านไม้เรียบง่าย สวยงาม
บ้านหลังที่สี่ ไว้หลบภัยสงคราม ที่เห็นรั้วปูนนั้น ด้านล่างเป็นหลุมหลบภัยครับ
บริเวณทางออก มีร้านขายของที่ระลึก ตั้งอยู่ในอาคารเก่า ดูน่าสนใจดี
ออกจากบริเวณ บ้านพัก ลุงโฮ แล้วเดินต่อไปตามถนนน ก็จะไปถึง วัดเสาเดียว ซึ่งเป็นวัดที่แปลก ดูๆจะคล้าย ศาลพระภูมิ แต่ก็ไม่ใช่
ตัววัดจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก ตั้งอยู่บนเสาๆเดียว มีบันได เดินขึ้นได้ 1 ด้าน ตั้งอยู่ในสระน้ำ ภายในนั้น มี เจ้าแม่กวนอิม ประดิษฐานอยู่ ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก เราสามารถ หาซื้อของที่ระลึก เป็นวัดเสาเดียวจิ๋ว ซึ่งทำจากเซรามิค ได้บริเวณนี้ ด้วย น่ารักดี ครับ
จากวัดเสาเดียว เราก็เดินเท้าต่อไปอีกนิดเดียวก็จะถึง พิพิธภัณฑ์ โฮจิมินห์ ซึ่งมีทั้งหมด สสามชั้นด้วยกัน ต่ละชั้น จะจัดแสดง เรื่องราวความเป็นมา ของ ท่าน โฮจิมินห์ ต่างๆ มีคำบรรยาย เอาไว้ให้อ่านเรียบร้อย
รูปปั้น ลุงโฮ ขนาด2เท่า ที่ชั้น3
เมื่อเราเข้ามาแล้วต้องฝากกระเป๋า กับเจ้าหน้าที่เขาก่อน และถ้าใครมีกล้อง ถ่ายวีดีโอก็ห้ามเช่นกัน ส่วนกล้องถ่ายรูป นั้น อนุญาตครับ การเดินชมที่นี่ เขาจะบังคับเป็น วันเวย์ ครับ ห้ามเดินสวนทางกัน
ออกจากพิพิธภัณฑ์ แล้ว เราก็จะเดินทางยังสถานที่สุดท้าย คือ วัดจอหงวน วัดซึ่งนับเป็น วิทยาลัย แห่งแรกของฮานอย เลยทีเดียว
วัดจอหงวน หรือวิหาร วรรณกรรม วันเหมียว นี้ แต่เดิมนั้น เป็น วัด และยัง เป็นแหล่ง เล่าเรียน วิชาชั้นสูง ของเหล่า จอหงวน เหมือนที่เห็นใน ภาพยนต์จีน นั่นแหละครับ โดย ที่นี่เมื่อ ใครสำเร็จเป็นบัณฑิต ระดับ จอหงวน แล้ว จะมี แผ่นหินแกะสลัก เป็นรูปเต่าที่มีแผ่นหินสลัก เกี่ยวกับรายละเอียด แต่ละบุคคลเอาไว้ เหมือน ใบ ร.บ. ครับ ซึ่ง ก็จะมีเต่า เหล่านี้มากมาย
เต่าหินจารึกชื่อจอหงวน เรียงรายอยู่
ร้านขายของที่ระลึก น่ารักมากเลยครับ มีตุ๊กตา และหุ่นกระบอกน้ำ ตั้งอยู่เต็มหน้าร้าน อยู่ในตัววัดเลย
ร้านนี้ห้ามถ่ายรูปครับ แต่เห็น น่ารักดี เลยแอบถ่ายมา ฮิฮิ
รูปปั้นสิงห์ เคลือบสวยงาม และน่ารักดี
เมื่อเสร็จจากวัดจอหงวน แล้ว ผมก็ยังต้องพบปะนักธุรกิจในฮานอยอีก แล้วจึงค่อยเดินทางกลับ ก็นับว่า ที่ฮานอยนี้ ได้เที่ยวมากกว่าที่ โฮจิมินห์ ซึ่งที่ฮานอยนี้ มีความเจิญมากกว่า โฮจิมินห์ ครับ จากนั้น ผมก็เดินทางกลับสู่เมืองไทย
อย่าลืม อ่านสกู๊ป ที่เกี่ยวเนื่องกันนะครับ สกู๊ป ฮัลโหล โฮจิมินห์ และ โทรกลับบ้านจาก เวียดนาม ไปหละครับ ซินจ่าว