สวัสดีค่ะ ช่วงนี้ก็ยังเป็นช่วงครึ้มฟ้าครึ้มฝน อากาศค่อนข้างเย็นเป็นบางครั้ง ชวนให้นึกถึงบรรยากาศริมทะเลที่ให้ความรู้สึกสงบ จึงทำให้คิดถึง
สถานที่ท่องเที่ยวที่เมื่อได้เห็นต้องสะดุดตา ครั้งท่องเที่ยวไปจังหวัดเพชรบุรี จะเป็นที่ไหนไปไม่ได้ค่ะ นอกเสียจาก “พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน”ย้อนกลับไปสมัยยังเป็นเด็ก จำความได้ค่ะว่า ได้มาเยือน “พระราชนิเวศน์สีหวาน” แห่งนี้แล้วครั้งหนึ่งกับครอบครัว เป็นการไปเยือน ที่ฝากความรู้สึกให้จดจำได้อย่างชัดเจนว่า ถ้ามีโอกาสอยากจะกลับไปอีกครั้ง และโอกาสนั้นก็มาถึงทำให้ได้มาท่องเที่ยวอีกเป็นครั้งที่สอง
ซึ่งครานี้ไม่เหมือนคราก่อน เพราะเป็นการมาเยือนที่ต้องมนต์สะกด ยิ่งกว่าครั้งก่อนเสียอีก
พระราชวังแห่งนี้เป็นที่ประทับส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีความเป็นมาว่าเมื่อครั้งพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี ทรงพระครรภ์ พระองค์ท่านทรงเกษมสำราญยิ่ง มุ่งหวังว่าจะทรงมีพระราชปิโยรส แต่ความหวังก็สิ้นสลายไป เมื่อพระนางเจ้าอินทรศักดิ์ศจี ทรงตกพระโลหิต ไม่สามารถมีพระประสูติกาลได้ แต่พระองค์ท่านก็ทรงอภิบาลพระมเหสีด้วยน้ำพระทัย ณ พระราชวังแห่งนี้
จึงเป็นที่มาของชื่อ “พระราชวังแห่งความรักและความหวัง”
เมื่อได้เดินเข้าไปยังพระราชนิเวศน์ เราจะพบกับ สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ ซึ่งพระที่นั่งทั้งหมดสร้างจากไม้สักทอง เป็นอาคารที่มีใต้ถุนยกสูง มีเสาเรียงรายในแนวเดียวกันอย่างเป็นระเบียบรองรับพระที่นั่งรวมกันถึง 1080 ต้น และสิ่งที่สำคัญแขกผู้มาเยือนหลายๆท่านคงสังเกตเหมือนกัน สิ่งนั้นคือ ขอบฐานของเสาทุกต้นมีการยกขอบขึ้นเป็นรางน้ำ เรียกว่า “บัวขอบ” เพื่อป้องกันมดและสัตว์ต่างๆนั้นเองค่ะ ทำให้สัมผัสถึงกลิ่นอาย
ของภูมิปัญญาชาวบ้านของคนไทยได้อย่างชัดเจน
จากนั้นเมื่อเดินขึ้นไปตามแนวระเบียงที่เชื่อมระหว่างพระที่นั่งทั้งสาม ได้แก่ พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์ พระที่นั่งสมุทรพิมาน และ หมู่พระที่นั่งพิศาลสาคร ซึ่งแบ่งเป็น ท้องพระโรง เขตที่ประทับฝ่ายหน้า และที่ประทับฝ่ายใน ระหว่างเดินชม สัมผัสได้เลยว่าพระราชวังแห่งนี้ โอ่โถงโอ่อ่า มีความทันสมัยและละเมียดละไมแบบไทยผสมกันได้อย่างกลมกลืน รับลมทะเลที่พัดผ่านเข้ามายังโถงต่างๆของพระราชวังนั้น ชวนให้อดไม่ได้ที่จะทอดสายตาออกมองรอบๆ สิ่งแรกที่ประทับใจคือ กลุ่มต้นข่อย ที่ถูกจัดและตัดตกแต่งเป็นลวดลายได้อย่างอ่อนช้อย สวยงามมากดึงดูดให้อยากลงมาเดินชมธรรมชาติโดยรอบขึ้นมาทันที ไม่เพียงแต่ความสวยงามของสวนที่เรามองเห็นเมื่อเดินอยู่ข้างล่าง แต่เมื่อขึ้นมาเดินชมพระที่นั่งด้านบนแล้ว กลับยิ่งสวยงามมากขึ้น เพราะเป็นสวนที่จัดให้สามารถมองเห็นลวดลายไม้ดัดจากเบื้องบนอาคารอีกด้วย
ก่อนที่จะชวนชมภูมิทัศน์โดยรอบของพระราชวัง ขอเท้าความก่อนเลยว่า เดิมทีนั้นโดยรอบพระราชวังเป็นพื้นที่โล่ง สภาพเป็นป่าชายหาดค่ะ ต่อมาได้มีการปรับปรุง จนเป็นสวนรอบหมู่พระที่นั่งดังปัจจุบันที่สวยงามมากจริงๆ ผู้ออกแบบสวนที่สวยงามนี้ คือ หม่อมหลวงภูมิใจ ชุมพล ซึ่งนอกเสียจากเราจะมีสวนที่รับและเหมาะสมกับพระราชวังแห่งนี้แล้วนั้น ท่านหม่อมหลวงภูมิใจ ได้ฝากให้เราได้ระลึกถึง พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว จากชื่อของสวนนั้นเอง …สวนเวนิสวานิช สวนศกุนตลา สวนวิวาห์พระสมุทร สวนมัทนะพาธา ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้แรงบันดาลใจและถูกเรียกนามตามพระราชนิพนธ์ทั้งสิ้นค่ะ ความอิ่มเอมยังไม่หมดแค่นี้ เมื่อพบกับ ต้นจามจุรี
ต้นใหญ่ยืนต้นตรง ตรงกลางสนามหญ้าสีเขียวเข้ม ชวนผ่อนคลาย และหลงไหลไปกับมุมนี้จริงๆค่ะ
ต่อมาคิดได้ว่าเราได้มาถึงพระราชวังริมทะเล ไม่ควรพลาดที่จะเดินไปยังบริเวณชายหาดด้านหน้าพระราชวังค่ะ พูดถึงทะเลสิ่งที่มาพร้อมทะเล คือ หาดทราย คลื่น และทิวต้นสนริมหาด และความสงบ พื้นน้ำทะเลยาวสุดตา หาดทรายขาว เสียงคลื่นซัดฝั่ง และ เสียงเสียดสีกันของทิวต้นสน
ทำให้ความเครียดจากในเมืองที่เผลอพกติดรถมาด้วยหายไปเลยค่ะ
ถึงเวลากล่าวอำลา ระหว่างเดินตามทางไปยังรถ ในใจคิดถึงคำกล่าวที่หลายคนพูดกันว่า “สามารถอยู่ที่พระราชวังแห่งนี้ได้เป็นวันวัน” ยืนยันเลยค่ะว่าจริง และขอเชิญชวนทุกคนให้มาพิสูจน์คำกล่าวที่ว่าด้วยตนเอง ที่นี้ค่ะ
พระราชนิเวศน์มฤคทายวันThe palace of Love and Hope สวัสดีค่ะ